เครื่องช่วยฟังคือ อุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ขยายเสียงให้ดังขึ้นขนาดเล็ก ประกอบด้วยไปด้วย ไมโครโฟนทำหน้าที่เป็นตัวรับเสียง ตัวขยายเสียงให้ดังขึ้นคือแอมพลิฟายเออร์ และลำโพงเป็นตัวปล่อยเสียงออก
ซึ่งชิปคอมพิวเตอร์และเครื่องขยายจะปรับแปลงรูปแบบของเสียงให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้แต่ละบุคคลก่อนจะส่งคลื่นเสียงเข้าไปในหูโดยผ่านทางเครื่องขยายเพื่อให้ผู้ที่ใช้งานสามารถ ฟังเสียงได้ดีขึ้น ทำให้หูได้ทำตามหน้าที่สำหรับผู้ที่สูญเสียการได้ยินเป็นเวลานาน ลดเสียงรบกวนภายในหู อีกทั้งยังช่วยให้สามารถสื่อสารด้วยการพูดและฟังกับผู้อื่นในชีวิตประจำวัน และใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติเฉกเช่นเดียวกับคนทั่วไปอีกด้วย
ส่วนประวัติที่มาของเครื่องช่วยฟัง ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
เครื่องช่วยฟังเครื่องแรกคือแตรหู และถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 เครื่องช่วยฟังในยุคแรกๆ เป็นเครื่องช่วยฟังภายนอก เครื่องช่วยฟังภายนอกจะส่งเสียงไปที่ด้านหน้าของหูและปิดกั้นเสียงอื่นๆ ทั้งหมด อุปกรณ์จะพอดีกับด้านหลังหรือในหู
และได้มีการพัฒนาเรื่อยมาไปสู่เครื่องช่วยฟังสมัยใหม่ เริ่มต้นด้วยการสร้างโทรศัพท์ และเครื่องช่วยฟังไฟฟ้าเครื่องแรก “อะคูโฟน” ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2438 โดยมิลเลอร์ รีส ฮัทชิสัน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ที่เครื่องช่วยฟังแบบดิจิทัลมีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์
เครื่องช่วยฟังไฟฟ้าเครื่องแรกใช้ไมโครโฟนคาร์บอนของโทรศัพท์และเปิดตัวในปี พ.ศ. 2439 หลอดสุญญากาศทำให้การขยายสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปได้ แต่เครื่องช่วยฟังแบบขยายเสียงรุ่นแรก ๆ นั้นหนักเกินกว่าจะพกพาไปไหนมาไหนได้ การทำให้หลอดสุญญากาศมีขนาดเล็กลงทำให้เกิดโมเดลแบบพกพา และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โมเดลที่สวมใส่ได้โดยใช้หลอดจิ๋ว ทรานซิสเตอร์ที่ประดิษฐ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2491 นั้นเหมาะสมอย่างยิ่งกับการประยุกต์ใช้เครื่องช่วยฟัง เนื่องจากใช้พลังงานต่ำและมีขนาดเล็ก เครื่องช่วยฟังเป็นการนำทรานซิสเตอร์มาใช้ในยุคแรกๆ การพัฒนาวงจรรวมช่วยให้สามารถปรับปรุงขีดความสามารถของอุปกรณ์ช่วยสวมใส่ได้มากขึ้น รวมถึงการใช้เทคนิคการประมวลผลสัญญาณดิจิทัลและความสามารถในการตั้งโปรแกรมสำหรับความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน
ในปัจจุบัน เครื่องช่วยฟังนั้นมีอยู่หลากหลายประเภทและองค์ประกอบ และมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ดังนั้น ผู้ใช้จึงควรที่จะจำเป็นต้องรู้เพื่อประกอบการตัดสินใจ และผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการใช้เครื่องช่วยฟัง คือ บุคคลดังต่อไปนี้
1.ผู้ที่สูญเสียการได้ยินที่ส่งผลต่อการสื่อความหมายและการเข้าใจความหมาย
2.ผู้ที่สูญเสียการได้ยินและไม่สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาหรือการผ่าตัด
3.ผู้ที่สูญเสียการได้ยินที่จะส่งผลต่อพัฒนาการทางภาษา การพูด และการสื่อสารตั้งแต่กำเนิด
4.ผู้ที่สูญเสียการได้ยินจากโรคหูแต่มีข้อห้ามในการผ่าตัด เช่น เป็นโรคหัวใจ หรือผู้ที่หูหนวกเพียงข้างเดียวแต่อีกข้างยังคงได้ยินเสียงตามปกติ เป็นต้น
ปัจจัยที่จำเป็นและสำคัญในการเลือกเครื่องช่วยฟัง คือ อาการและความรุนแรงของปัญหาการได้ยินรวมถึงความจำเป็นมากน้อยในการใช้เครื่องช่วยฟังที่ต่างกันออกไปของแต่ละบุคคล ซึ่งผู้ใช้จะเลือกเครื่องช่วยฟังภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ แพทย์หูคอจมูกหรือนักโสตสัมผัสวิทยาเท่านั้น